เทศน์บนศาลา

ไม่ว่างเปล่า

๑๑ ต.ค. ๒๕๔๘

 

ไม่ว่างเปล่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๘
ณ วัดป่าสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ต่อไปนี้จะเป็นการปฏิบัติธรรมนะ เราเป็นชาวพุทธไง ดูสิ เวลาเราภูมิอกภูมิใจว่าเราเป็นชาวพุทธ เราเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เวลาเราภูมิใจนะ กิเลสมันพาเราภูมิใจ มันจะมองไปทางโลกไงว่า ดูสิ เขาเป็นชาวพุทธเหมือนกัน เขาได้ระดับทำทาน เขาได้สวดมนต์อ้อนวอน เขาไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเหมือนเรา เราว่า เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เป็นนักรบ

นี่แก่นของศาสนา ตัวของศาสนา คือ ตัวหัวใจ ใครที่ควบคุมใจของตัวเองไว้ได้ แล้วเอาชนะใจของตัวเองได้ นี่แก่นของศาสนา แก่นของศาสนา คือ ความสัมผัสของใจไง

เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะภูมิใจมาก แต่เรามองไปในโลกนะ โลกเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อของเขา เกิดมาพบพุทธศาสนา แต่เขาก็ไม่เชื่อนะ เขาไม่เชื่อ เขาใช้ชีวิตของเขาตลอดไป เขาไม่เชื่อว่านรกมี สวรรค์มี บุญกรรมมีไง เขาถึงใช้ชีวิตของเขาแบบอิสระเสรี ถ้ามันใช้ชีวิตแบบอิสระเสรีนะ กิเลสมันมีอำนาจมาก กิเลสนะ มันมีอำนาจ มันปฏิเสธไปทั้งหมด ถ้าใช้อิสระเสรีก็ใช้ด้วยอำนาจของกิเลสไง เห็นไหม

ว่าโลกนี้ว่างไง สูญเปล่า ตายแล้วสูญไม่มีสิ่งใดเลย ใช้ชีวิตให้มันสมควร ให้สมควรกับชีวิตของเรา เห็นไหม สมควรคือความเห็นของกิเลสไง แล้วมันก็อ้างอิงนะว่า เราเป็นคนดี เราเกิดมา เราสร้างสม เราทำประโยชน์กับสังคม ทำประโยชน์กับสังคม สังคมเอารัดเอาเปรียบสังคมนั้นเป็นอีกปัญหาหนึ่ง เพราะเราว่าเราทำเพื่อสังคม สังคมเขายอมรับเราไหมล่ะ

สิ่งที่เป็นประโยชน์กับสังคม เอาเปรียบสังคม แล้วเราว่าเราทำเพื่อสังคม สังคมเขาเหนื่อยหน่ายเต็มประดาอยู่แล้ว เห็นไหม นี่ความเห็นของโลกเป็นอย่างนั้นไง สิ่งที่ทำแล้ว ทำเพื่อเราๆ ถ้าไม่เชื่อเรื่องนรก สวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องบุญกรรมต่างๆ ความเป็นไปของกิเลสมันก็ต้องทำของมันตามสภาวะที่มันจะข่มเหงเขาตลอดไป เห็นไหม

ในสมัยกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านมีกองทัพธรรม ภาคอีสานถือผีถือสางกัน เขาถือผีเพราะอะไร เพราะสมัยโบราณ สมัยก่อนนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวก ประชากรยังมีน้อยอยู่ คนที่อยู่ในป่าในเขา สถานที่เขาทำมาหากินด้วยเกษตรกรรม ด้วยการเป็นอยู่ของชาวชนบท เขาหาที่หาทาง ทำที่ไหนก็ได้เห็นไหม ทำไร่ไถนาที่ไหนก็มีกิน

แต่เวลาเขาไปทำสิ่งที่เจ้าที่นี้รุนแรง เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ตัดต้นไม้นะ ก็เจ็บไข้ได้ป่วยถึงตาย สิ่งที่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็มี ซึ่งถือผีถือสางกันจนขนาดว่าอพยพหลบหนีกันนะ นี่เวลาถือผีถือสางเพราะไร เพราะเราไปอ้อนวอนเขา เราไปเซ่นไหว้เขา เราไปยอมรับเขา

แล้วในสมัยปัจจุบันนี้ผีไม่มีหรอ? ผีก็มีนั้นแหละ เพียงแต่ว่าหลวงปู่มั่นกับหลวงปู่สิงห์ ท่านพยายามให้ถือไตรสรณคมณ์ ไม่ให้เขาเชื่อถือผี คือเราไม่ยอมรับเขา ในเมื่อศาสนามีไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่งของเรา ถ้าเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สภาวธรรม เรามีศีล มีธรรม สิ่งที่มีศีลมีธรรม นี่ความเป็นสุขของเรา ความมั่นคงของเรา ในเมื่อหัวใจของเรามั่นคง เราไม่ต้องไปอาศัยใคร เราไม่ต้องหวังพึ่งสิ่งใด เราไม่อ้อนวอนเขา เราไม่ยอมรับเขา เขาก็อยู่ส่วนของเขาสิ เขาทำของเขา

เราสวดมนต์ เราระลึกถึงพุทธคุณ ขณะสวดมนต์ ขณะนั่งภาวนา เราเป็นชาวพุทธ เราประพฤติปฏิบัติ นี้เป็นแก่นของศาสนา ปฏิบัติบูชาไง ถ้าเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติบูชาเห็นไหม สิ่งนี้เราถือรัตนตรัย ถึงแก่นของรัตนตรัยนะ เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่หัวใจ

ไม่ใช่ชาวพุทธถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ทะเบียนบ้านไง เวลาถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ทะเบียนบ้านนะ ศีล ๕ ก็ไม่เข้าใจ การสละทานก็ไม่เคยทำ สิ่งใดๆ ไม่เคยเข้าใจในเรื่องของหลักศาสนา แล้วว่าศาสนาคืออะไร ชีวิตนี้คืออะไรก็ไม่เข้าใจ

ศาสนาเป็นสิ่งที่เยียวยาชีวิตให้มีคุณค่าขึ้นมานะ ถ้าเราพบพระพุทธศาสนา แล้วเราใช้ชีวิตของเราในศาสนาเห็นไหม ชีวิตของเราเกิดมา ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายโดยธรรมชาติของสัจธรรมของชีวิตนี้ แล้วเราใช้ไปวันหนึ่งๆ กับโลกเขา สิ่งที่โลกเขาเกิดมา

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมนุษย์นี้แสนยาก

การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก ทำไมมนุษย์มันเต็มโลกล่ะ การเกิดมนุษย์นี้แสนยาก แต่เราเกิดง่าย เกิดง่ายเพราะเรามีบุญญาธิการ เราได้มีศีล ๕ มนุษย์สมบัติ เรามีมนุษย์สมบัติ เราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเราใช้ชีวิตของมนุษย์ เราใช้กันฟุ่มเฟือยไหม วันเวลาของมนุษย์ตายแล้วสูญ สิ่งนี้ไม่มีสิ่งใด ๆ เราก็ทำเบียดเบียนไปตามแต่อำนาจของกิเลส ตามใช้ชีวิตแบบสะดวกสบายไปตามกิเลสนั้น กิเลสมันเอาแต่ความสะดวกของมัน มันหาแต่สิ่งที่เป็นเรื่องของโลกๆ ไง

ความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งต่างๆ เบียดเบียนกัน ทำลายกันขนาดไหนมันก็ทำสภาวะของมัน เพราะมันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันไม่ใช่ธรรม

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ เป็นธรรมสิ่งที่มันมีศีล ๕ ถ้ามีศีล ๕ นะ ฆราวาสธรรมมีศีล ๕ แต่ผู้ที่ออกบวชมีศีล ๑๐ ถึงศีล ๒๒๗ ขณะศีลที่ ๒๒๗ ยังถือธุดงควัตรนะ ยังถือสิ่งต่างๆ นี่เรื่องของธรรมวินัย สิ่งนี้จะเข้ามาทำไมล่ะ? เพราะเข้ามาเพื่อดัดแปลงใจของเราไง ถ้าดัดแปลงใจเห็นไหม ถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยการปฏิบัติ สิ่งที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เกิดจากการปฏิบัติ นี่การปฏิบัติบูชา

ถ้าเราถือรัตนตรัย แล้วเราถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ใจ ถ้าเราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ใจ ผีไม่ต้องพูดถึงเลย สิ่งที่เป็นผีเป็นสางที่เราตื่นกลัวกันไง ทั้งๆ ที่ศาสนามีนะ ศาสนาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นมาแล้ววางไว้ พระเต็มบ้านเต็มเมือง ทำไมไปถือผีถือสางกันล่ะ?

ไปถือผีถือสางเพราะเขาพึ่งใครไม่ได้ สิ่งที่พึ่งใครไม่ได้เพราะอะไร เพราะธรรม สิ่งที่ธรรมนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติ ความเชื่อของเรา เราก็เชื่อโดยกิเลสไง กิเลสมันก็พาให้ไปถือผีถือสาง ถ้าถือผีถือสางอย่างนั้นเพราะไม่มีใครชี้นำ ไม่มีผู้นำ ผู้นำที่ไม่เข้าใจสภาวะแบบนี้ ผู้นำไม่เข้าใจเรื่องของหัวใจไง ก็ตื่นข่าวตามกระแสไป แต่ถ้าผู้นำมีจุดยืนนะ จุดยืนเห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่ไหน

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม เรากราบพระพุทธรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ขณะที่เรากราบพระพุทธรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรากราบที่เป็นโลหะ หรือกราบสิ่งที่เป็นส่วนผสมที่ปั้นเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเรากราบถึงคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรม ไม่มีความเมตตา ไม่มีการรื้อสัตว์ขนสัตว์ ธรรมและวินัยนี้จะไม่มี ธรรมและวินัยจะไม่มี แล้วเราจะเอาสิ่งใดเป็นที่ก้าวเดิน สิ่งที่ก้าวเดินเห็นไหม ขณะที่เรากราบพระพุทธรูป เราก็กราบถึงเมตตาคุณ กราบถึงปัญญาคุณ กราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้คือการกราบของหัวใจ ถ้าหัวใจเป็นธรรม มันมีความเข้าใจของใจ เข้าใจในจุดยืนของใจ ถ้าใจมีจุดยืน มันจะเริ่มลด เริ่มให้ชีวิตเรามีคุณค่า ชีวิตเรานี้ไม่ใช่สิ่งที่ใช้ฟุ่มเฟือยไปกับโลกเขา วันคืนล่วงไปๆ นะ ถ้าเราเพลินไปในชีวิต

ในประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธ ถ้ามีลูกผู้ชายต้องขอให้ได้บวช เพื่อพ่อแม่จะได้เกาะชายผ้าเหลือง เกาะชายเผ้าเหลืองเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้นะ ภิกษุตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปยังไม่ขาดวรรคขาดตอน ถ้าขาดวรรคขาดตอน ในชนบทของประเทศ ภิกษุจะบวชขึ้นมาต้องมีสงฆ์ ๕ องค์ขึ้นไป หรือ ๑๐ องค์ขึ้นไปถึงจะบวชภิกษุต่อๆ กันมา ถ้าขาดวรรคขาดตอนบวชขึ้นมาไม่ได้ เหมือนกับไม่มีครรภ์ของมารดา คนจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีแม่ ถ้าคนจะเกิดได้ต้องมีแม่

นี่บวชเป็นสถานที่เฉยๆ แต่คณะสงฆ์นั้นต่างหาก อุปัชฌาย์ คณะสงฆ์เป็นผู้ที่ญัตติจตุตถกรรมขึ้นมาให้เป็นสงฆ์ขึ้นมา แล้วลูกเราออกบวชสืบทอดศาสนา บุญกุศลเกิดตรงนี้ไง เกิดตรงที่สืบทอดศาสนา คือ ดำรงเผ่าพันธุ์มา ๑ ดำรงธรรมและวินัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาถึงอนุชนรุ่นหลังนี้ ๑ นี่การบวชของลูกหลาน

แล้วพอเราแก่เฒ่าขึ้นมา เราใช้ชีวิตแก่เฒ่าเพื่อจะเข้าวัดเข้าวา เข้าวัดเข้าวาเพื่ออะไร? เพื่อเตรียมตัวตายไง เตรียมตัวตาย เพราะตายนี่จิตต้องออกจากร่างไปนะ ขณะที่จิตนี้ออกจากร่างไป เราต้องทำบุญกุศลเพื่ออะไร? เพื่อสิ่งนี้จะได้ไปเกิด เกิดสิ่งที่ดีๆ ไง บุญกุศลพาเกิดในที่ดี ถ้าบาปอกุศลจะพาเกิดในนรกอเวจี สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นยาก นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น ประเพณีวัฒนธรรมก็เชื่อๆ ตามๆ กันมาไง

แต่ขณะที่ในปัจจุบันนี้ เราไม่ใช่ว่า เรารอแก่รอเฒ่าแล้วค่อยเข้าวัด ในปัจจุบันนี้เห็นไหม ขณะคนแก่คนเฒ่า การสะสม ภิกษุบวชผู้เฒ่าว่าง่ายสอนง่าย หายากมาก ภิกษุบวชผู้เฒ่าจะว่ายากสอนยากเพราะอะไร เพราะผ่านโลกมาก ผ่านในสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ว่าสังคมเราเข้าใจไปหมดเลย สิ่งนั้นเป็นยาพิษนะ เวลาเราทำความสงบของใจ เราจะรั้งสิ่งนี้มันถึงจะสงบได้ ถ้ามีสิ่งนี้ขึ้นมากวนใจ มันจะสงบได้ไหม

สิ่งที่ความสงบไม่ได้เพราะความฟุ้งซ่านของใจ แล้วใจเห็นไหม ดูสิ ดูเด็กๆ เวลาเขาหัดนั่งสมาธิกัน จะทำสมาธิได้ง่ายกว่าเราเพราะอะไร เพราะเด็กนี้มันขี้สงสัย เพราะมันไม่มียาพิษในหัวใจไง มันขี้สงสัย เพราะมันยังไม่มีสิ่งที่เป็นสะสมในใจไว้มากนัก แต่ขณะที่ว่าไม่มากนัก เด็ก อย่างนั้นเด็กเกิดมา เด็กก็จะ เด็กไร้เดียงสาๆ ไร้เดียงสามันเป็นชาติปัจจุบัน

แต่การสะสมของเด็กมา เด็กบางคนว่าง่ายสอนง่าย เด็กบางคนว่ายากสอนยาก เด็กบางคนเกิดมาในบุญกุศล เขาเกิดมา เขาจะมีโอกาส จะมีคนรักเขามาก จะมีคนคอยปรนเปรอเขามาก เด็กบางคนเกิดมาพ่อแม่เอาไปทิ้งถังขยะ สิ่งนี้มันมาจากไหน?

มันมาจากการกระทำของเขา มันมาจากกรรมของเขา สิ่งที่กรรมของเขา ขณะที่เกิดไร้เดียงสา ไร้เดียงสาเฉพาะชาติปัจจุบันนี้ แต่ตัวจิตตัวนี้มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากสะสมมามหาศาลเลย เวลาโตขึ้นมาก็ต้องมีเรียนวิชาการเพื่อความรู้ เพื่อเป็นวิชาชีพ เวลาเข้าไปในสังคม สังคมสอนเด็กคนนั้น สอนมนุษย์คนนั้นในสังคมนั้น โดนเขาเอารัดเอาเปรียบ หรือว่ามีความเมตตาธรรมก็จุนเจือเขา ถ้าเด็กคนนั้นมีอำนาจวาสนา

ในการสะสม ในการประกอบสัมมาอาชีวะในหน้าที่การงาน สิ่งนี้มันจะสะสมลงมาที่ใจ แล้วสิ่งใดที่มันกระเทือนหัวใจมาก ที่มันบาดหมางมาก สิ่งนั้นมันจะฝังใจ เวลานั่งสมาธิ สิ่งนี้จะแสดงตัวออกมา

ถึงว่า ภิกษุขณะบวชที่ว่าผู้เฒ่า บวชเมื่อแก่ว่าง่ายสอนง่าย หายาก เราก็เหมือนกัน ขณะที่เราจะไปประพฤติปฏิบัติตอนที่มีอายุ ตอนแก่ ขณะที่ปฏิบัติตอนแก่ สิ่งที่สะสมมาตั้งแต่เด็กจนมาถึงอายุมาก สิ่งนี้มันจะกระเทือนหัวใจ สิ่งนี้เกิดเป็นนิวรณธรรม มันจะเกิดในหัวใจ มันจะสัมผัสกับใจ เห็นไหม เวลาเราอยู่กัน มีหมู่คณะหรือคนมาเยี่ยมเรา เราคุยกับเขาเราต้องใช้เวลาไปตลอดเวลา ขณะที่เราอยู่บ้านของเราคนเดียว หรืออยู่ปกติคนเดียว ความคิดมันออกมาจากไหน?

มันออกมาจากใจไง สิ่งที่ออกมาจากใจ แล้วถ้าเรานั่งหลับตา เราทำความสงบของใจ มันยิ่งเข้าไปคุ้ยสิ่งที่เป็นความคิดของใจออกมามหาศาลเลย ขณะที่เราคุยกับเขา เราต้อนรับแขก เราว่าสิ่งนี้มันเป็นภาระ มันเป็นความฟุ้งซ่าน มันเป็นสิ่งที่เราต้องรับผิดชอบ ขณะที่เรานั่ง เราอยากจะมีเวลาออกประพฤติปฏิบัติ เราจะนั่งของเราคนเดียว ขณะที่ไปอยู่คนเดียว สิ่งที่มันซับสมมา มันแสดงตัวออกมามหาศาลเลย

เราถึงต้องตั้งสติไง ถ้าเราจะตั้งสติ ความว่าง ความว่างเปล่า โลกนี้เป็นของว่างนะ มันว่างเปล่า สิ่งที่ว่างเปล่าเพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เป็นสมมุติ เราเกิดมานี้เป็นสมมุติ ถ้าเราหาความว่างสิ่งนี้ไม่เจอ ถ้าเราค้นหาความว่างไม่เจอ ตัวเราเองก็เป็นความว่างอันหนึ่ง สิ่งที่เป็นความว่างนั้นเพราะอะไร เพราะมันเป็นของชั่วคราว มันเป็นอนิจจัง มันต้องสืบ ต้องต่อเนื่องกันไป

ชีวิตนี้ต้องพลัดพราก คนเราเกิดมาต้องตาย ทุกคนยอมรับ แต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับชีวิต เราทำไมไม่แสวงหาล่ะ สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา แล้วอะไรในโลกนี้มันเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งนี้สัมมาอาชีวะก็ต้องยอมรับนะ คนเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานของเรา มันก็เป็นส่วนหนึ่ง

พระบวชแล้วมีหน้าที่การงานไหม? พระบวชแล้ว ชีวิตนี้ยังต้องมี เวลาอดอาหาร อดอาหารขณะที่ประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันเบาลง เราว่าปฏิบัติมันดีมากเลย เราก็ไม่อยากจะกินอีกเลย อยากปฏิบัติจนสิ้นกิเลสนะ แล้วมันเป็นไปได้ไหมล่ะ? ไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะเราต้องรักษาชีวิตนี้ไว้

ในเมื่อการประพฤติปฏิบัติของเรา เรารู้อยู่ว่ากิเลสเรายังไม่สิ้นไปหรอก กิเลสยังไม่ถลอกเลย เรายังไม่เจอตัวกิเลสเลย เราถึงต้องพยายามอดอาหารเพื่อให้จิตนี้สงบเข้ามา ขณะที่อดอาหารเข้าไป ร่างกายนี้มันต้องการอาหาร แล้วเราจะต้องเอามาปรนเปรอมันเพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติต่อไป เพราะในเมื่อประพฤติปฏิบัติมันจะไม่ถึงที่สุด ชีวิตเราจะตายไปก่อน ก็ต้องออกหาอาหารมา หาอาหารมาเพื่อจะเยียวยาชีวิตนี้ไว้ได้ประพฤติปฏิบัติ

ขณะที่หน้าที่ของพระภิกษุ เวลาบวชกับอุปัชฌาย์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่งานของอุปัชฌาย์ให้มา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ อุปัชฌาย์บวชกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ถ้าไม่บอกกรรมฐาน ๕ ไม่บอกนิสัย ๔ การบวชนั้นไม่สมบรูณ์ เป็นพระไม่ได้ไง หน้าที่ของพระถึง เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เห็นไหม นิสัย ๔ สิ่งที่ทำและไม่ทำ ประพฤติปฏิบัติไป หน้าที่ของพระเป็นอย่างนั้น

แต่ขณะที่ประพฤติปฏิบัติมันก็ต้องอาศัยการดำรงชีวิต ถึงงานของพระก็มี งานการดำรงชีวิตนะ ต้องดำรงชีวิตไป ถ้าเป็นคฤหัสถ์เขาต้องหาอยู่หากินของเขา เขาต้องหาหน้าที่การงานของเขา อันนี้ก็เป็นหน้าที่อันหนึ่ง แต่ขณะประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่จะออกมาประพฤติปฏิบัติต่อเมื่อมีศรัทธา มีความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อจะแสวงหา ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ มองแต่ว่าเป็นการเสียเวลาเปล่า เราทำหน้าที่การงานของเรา อย่างนี้จะเป็นประโยชน์กับชีวิตไง

โลกว่าง ว่างจริงๆ นะ เราจะไม่ได้อะไรเลย เราหาสมบัติของโลก แล้วก็ไว้ในโลก แล้วสมบัติกับเราต้องพลัดพรากจากกันแน่นอน เขาไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ต้องพลัดพรากจากเขา เขาพลัดพรากจากเรา เราจับจ่ายใช้สอย นี่เขาพลัดพรากจากเรา แต่เวลาเราพลัดพรากจากเขา เราตายจากเขาไป มันก็ต้องพลัดพรากจากกันแน่นอน

แล้วว่างไง ความว่างเห็นไหม ความว่างเปล่าไม่ได้สิ่งใดเลย

แต่ขณะที่การประพฤติปฏิบัติ ถ้าการประพฤติปฏิบัติ เราเชื่อในศรัทธาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมบอกว่าไม่มีสิ่งใดว่าง ไม่ว่าง ไม่ว่างเปล่า มีหมด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพียงแต่เกิดมามีโอกาสได้เป็นมนุษย์ แต่ไม่สร้างคุณงามความดีไง ไม่ทำคุณธรรมเข้ามาในหัวใจไง

ว่าธรรมเกิดมาแล้ว เวลาตายไปไปเจอยมบาล ในพระไตรปิฎกนะ เวลามนุษย์ตายไป ไปเจอยมบาล ถามว่า “ได้ฟังธรรมไหม เห็นธรรมไหม?”

“ไม่เห็นๆ”

ยมบาลบอก ทำไมไม่เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย นั่นน่ะ คือยอดของธรรม เราเกิดมาเราเป็นมนุษย์ เราไม่เคยเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตายเลยหรือ ขณะที่ตำตาอยู่อย่างนั้น เวลาตายไปยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือธรรม อะไรเป็นธรรมก็ยังไม่รู้

สิ่งที่ไม่รู้ ชีวิตนี้มันได้อะไรมาล่ะ สิ่งที่เกิดมาแล้ว ขณะที่เกิดมาในชีวิตนี้ แล้วสิ่งนี้ตำหูตำตาก็ไม่รู้จัก ตำหูตำตาก็ไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยทำให้โอกาสเราจะประพฤติปฏิบัติเลย จนยมบาลถามเอานะว่าเห็นธรรมไหมๆ เห็นธรรมไหม เกิดอยู่ในมนุษย์พบพุทธศาสนา เห็นธรรมไหม? ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่องเลย ถ้าอย่างนั้น มันจะไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์อันนี้ไง

แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องของปัจจุบันนี้ งานของโลก เราก็หาอยู่หากินของเรา ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อ เราก็จะออกประพฤติปฏิบัติ ถ้าในการประพฤติปฏิบัตินะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ธรรมนี้มี นรกนี้มี มรรคผลนี้มี ถึงที่สุดจิตวิมุตติก็มี เปรียบอุปมา ว่าน้ำ มีจอกมีแหน ถ้าแหวกจอกแหนออกเห็นน้ำแน่นอน

สิ่งนี้เป็นการเปรียบ เปรียบว่าธรรมนี้มี หัวใจนี้มี หัวใจเหมือนน้ำ จอกแหน คือ ความคิด จอกแหน คือ ขันธ์ จอกแหน คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันปกคลุมน้ำนั้นไว้ ถ้ามันปกคลุมน้ำนั้นไว้ เราถึงจะไม่เห็นน้ำนั้นเลย เราอยู่บนจอกบนแหนแล้วก็ดิ้นรนเดือดร้อนกัน

ดูสิ เวลาน้ำหลาก เวลาน้ำหลากไป จอกแหน มันทำให้ไปกั้นน้ำนะ น้ำท่วม เป็นอุทกภัยต่างๆ นี่เสียผลประโยชน์เพราะอะไร เพราะจอกแหนมันไปกันไม่ให้น้ำมันผ่านไปได้สะดวกสบาย แล้วจะทำอย่างไรจะเอาจอกแหนนี้ออกได้ล่ะ

ถ้าเอาจอกแหนนี้ออกเห็นไหม สิ่งที่เรายืนยันกับใจก่อน ถ้าใจเราจะยืนยันว่า สิ่งที่ธรรมนี้มี ถ้าธรรมนี้มี เวลาความทุกข์เวลาเกิดกับใจ เราจะเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นความทุกข์ ความทุกข์มันเบียดเบียนหัวใจ ความอาลัยอาวรณ์ ความเศร้าสร้อยเหงาหงอย สิ่งนี้เป็นความทุกข์อันละเอียด แต่ความทุกข์หยาบๆ เวลาความโกรธเกิดขึ้น ความโลภเกิดขึ้น ความหลงเกิดขึ้น มันหลงนะ หลงไปในโลก หลงไปในสิ่งต่างๆ ของกระแสของโลก หลงไปสิ่งที่เป็นเหยื่อ กิเลสมันเอาเหยื่อมาป้อน

ถ้ากิเลสมันเอาเหยื่อมาป้อนนะ ดูสิ คนนั้นก็มีความเจริญก้าวหน้า คนนี้ก็มีความเจริญมาก ประเทศชาตินั้นก็เจริญ เราก็จะไปตื่นกับโลกเขา นี่กิเลสมันเอาเหยื่อมาป้อนเรา ทั้งที่ว่าสิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติ สิ่งนี้มันเป็นความเป็นไป โลกนี้เป็นอจินไตย ความแปรไปของโลกมันจะเป็นธรรมชาติของมันอยู่สภาวะแบบนั้น อยู่ที่สภาวกรรม กรรมเกิดในยุคไหน ในสมัยใด การเกิดในสถานที่ใด

ในปัจจุบันนี้ โลกเจริญ การเคลื่อนย้าย เกิดในประเทศไม่สมควรยังเคลื่อนย้ายไปประเทศอันสมควร เคลื่อนย้ายไปโดยกิเลสไง ในเมื่อกิเลสมันต้องการ กิเลสมันเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นความเจริญ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จะให้ความสุขกับเราไง เราไปแสวงหามาขนาดไหนนะ สิ่งนี้แก้เกิดแก้ตายไม่ได้หรอก ขณะที่เราจะแก้เกิดแก้ตาย มันต้องแก้ในหัวใจของเรา

ที่ว่าจอกแหนมันปกคลุมใจอย่างนี้ไง มันถึงเข้าใจไปทางโลก มันถึงจะออกไปเอาแต่ประโยชน์กับทางโลกนั้น มันไม่เอาประโยชน์กับทางธรรม ถ้าเอาประโยชน์ทางธรรม เกิดพุทธศาสนาถ้าเราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ใจ ในเมื่อหัวใจเรายึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรายึดมั่น เรากำหนดพุทโธ เวลาเราทำคำบริกรรมพุทโธต่างๆ มันออกมาจากไหน?

มันออกมาจากใจนะ ถ้าใจเรานึกพุทโธ มันถึงจะเกิด แล้วคำว่า “นึกพุทโธ” คนที่เขาไม่สนใจ เขาจะนึกพุทโธไหม เขาคิดแต่เรื่องของเขา เราไปบอกเขาให้บริกรรมพุทโธ เขาจะหาว่าเราเสียสติทันทีเลย เพราะเขาไม่เข้าใจหรอก สิ่งที่ไม่เข้าใจนั้นเพราะอะไร เพราะใจเขาหยาบ

ถ้าใจเขาหยาบ ขนาดที่ว่าเรื่องศาสนาเขาก็ไม่เชื่อ ในเรื่องของโลก เรื่องของนรกสวรรค์ เรื่องวัฏฏะ เขาก็ไม่เชื่อ ขณะที่เขาก็เกิดมาเหมือนกัน ใจขณะที่ทำบุญทำกรรม สิ่งนี้ไม่ว่างเปล่าหรอก มันจะมีบาปอกุศลเข้าไปกับจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ไม่เคยตาย มันเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติของเขา ในธรรมชาติของเขานะ แล้วแต่เวรกรรมมันขับไสไป ว่างเปล่าไม่มี ทำดีก็คือได้ดี ทำชั่วก็ต้องได้ชั่ว

สิ่งที่ทำดีทำชั่ว ในปัจจุบันนี้ว่า เขาทำชั่วขนาดนี้ ทำไมเขามีสถานะ เขามีความสุขของเขา

ไม่จริง สถานะความสุขของเขา ความที่เขามีความสุข เขาต้องมีบุญกุศลของเขามา เขาต้องได้สร้างของเขามา แต่สร้างโดยสิ่งที่...ดูในธรรมบทสิ เทวดาที่เคยทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอินทร์เป็นผู้ปกครอง เป็นพระอินทร์นะ พระอินทร์ต้องสร้างอะไร สมบัติของพระอินทร์คือสร้างแหล่งน้ำ สร้างศาลา สร้างโรงทาน สร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะ บุญอย่างนี้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ แต่ขณะที่เขาทำบุญกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสงหรือสิ่งที่ว่าเป็นคุณธรรมของเขามีมากกว่า พระอินทร์ยังต้องมาใส่บาตรพระกัปสัปปะเพื่อจะเอาคุณธรรมนี้เพื่อไปปกครองเขา

สิ่งที่เขาเกิดมา แล้วเขาว่าเขามีบุญกุศล เขาเคยทำบุญกับสิ่งที่เขาทำบุญ สิ่งนี้ให้ผลมา ถ้าให้ผลมา สิ่งนี้เรายังกลับว่าเขา แต่ให้ผลมา แต่การกระทำของเขาก็คือกรรม ทำดีก็คือดี ทำชั่วก็คือชั่ว สิ่งที่ทำชั่ว มีสถานะ คือมีโอกาส เหมือนพระอินทร์ เหมือนกับผู้ที่เกิดมามีบุญญาธิการ ถ้าเขาได้สร้างสมบุญญาธิการเป็นบุญกุศลของเขา เขาก็ได้ประโยชน์ของเขา เขาได้โอกาส เขามีสถานะ แต่เขาทำแต่ความชั่วล่ะ เขาทำความชั่ว แล้วความชั่วนี้มันแผ่กว้าง ความชั่วนี้ทำให้คนอื่นมีความทุกข์ความยากมาก นี่ผลจะให้เขามหาศาลเลย

ดูสิ อนันตริยกรรม แม้แต่ทำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ทำสงฆ์ให้แตกแยก ทำสิ่งที่ว่าฆ่าพระอรหันต์ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ นี่อนันตริยกรรม สิ่งที่เป็นอนันตริยกรรมนี่ปิดกั้นมรรคผลเลย แต่ขณะที่ทำกรรมอันมหาศาล คือทำกรรมสิ่งที่ทำให้คนทุกข์ลำบาก เป็นสิ่งที่เราเบียดเบียนเขาไว้มาก นี้มันก็เป็นกรรมเหมือนกัน แล้วมันจะเป็นสิ่งที่เป็นความสุขมาจากไหนล่ะ

มันเป็นความคิดของเรา ว่าเขาทำความชั่ว ทำไมเขามีโอกาส ทำไมเขาคิดสภาวะแบบนั้น กรรมเหมือนกันแหละ เขามีโอกาสแล้ว เขาไม่ทำคุณงามความดี มันน่าสลดใจไง นี่ธรรมสังเวช

คนนะจะแสวงหาโอกาส ขณะที่ว่าเขามีโอกาส เขาควรจะทำบุญกุศล เขาควรจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำไมเขาไพล่ไปทำสิ่งที่เป็นบาปอกุศล เขาไปทำ นี่กิเลสมันเอาเหยื่อป้อนอย่างนี้เห็นไหม นี่มันบังตา ถ้ามันบังตาอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องของสัตว์โลกไง เรื่องของคนอื่น เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา ขณะที่เรามองเป็นธรรมนะ แล้วเตือนตัวเอง ย้อนกลับมาที่เรา แล้วเราล่ะ

โลกนี้ร้อนเป็นไฟ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจเร่าร้อน ขณะว้าเหว่ทุกข์มาก ทุกดวงใจนะ ขณะสโมสรสันนิบาต แล้วโลกนี้มีอะไรล่ะ โลกนี้มีอะไรเป็นที่น่ารื่นเริง

เราเกิดมาในโลกนี้ มนุษย์สมบัตินี่สุดยอด แล้วเราเข้าใจในธรรม เราเชื่อธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นชีวิตนี้เราก็พออยู่พอกิน เราก็รักษาชีวิตของเราได้ แล้วเราจะรื้อค้นไง เราจะเปิดจอกแหนให้ได้ ถ้าเราเปิดจอกแหน เราจะได้น้ำนั้น ถ้าเราเปิดจอกแหนนะ สิ่งที่พยายามเปิดจอกแหน เรากำหนดพุทโธๆ สิ่งนี้เปิดจอกแหน ถ้ามีสตินะ สติมันจะกันไว้

ดูสิ ดูเวลาน้ำท่วม สิ่งที่เขาสูบน้ำขึ้นมา เวลาคนเราขาดน้ำไม่ได้ สิ่งที่ขาดน้ำ บ้านไหนขาดน้ำ ตำบลไหนขาดน้ำ เขาต้องพยายามแสวงหาน้ำนี้มาให้การดำรงชีวิต การใช้สอยในบ้านของเขา ในชุมชนของเขาต้องมีน้ำใช้ ขาดน้ำไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามีความรู้สึก เรามีหัวใจอยู่ เรามีน้ำอยู่ เรามีน้ำใจ ใจเรามีอยู่ แต่เราหาใจเราไม่เจอไง เราถึงต้องเอาสติกั้นไว้ สติกั้นให้จอกแหน แยกจอกแหนออก ถ้าแยกจอกแหนออก พยายามแยกจอกแหนออก แล้วเราดูดน้ำขึ้นมา

เวลาดูดน้ำขึ้นมานะ ถ้าสติเรากั้นไว้ไม่อยู่ เวลาเครื่องดูดน้ำ พวกจอกพวกแหนเข้าไปอุดตันก็ดูดน้ำขึ้นมาไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าสติเราขาด สติเราบกพร่อง การทำความสงบของใจมันก็ไม่ก้าวเดินไง เราถึงต้องตั้งสติของเรานะ ตั้งสติของเรา ทำสิ่งนี้ขึ้นมาให้เป็นประโยชน์กับเรา เราแหวกจอกแหนเพื่อให้เห็นน้ำ แล้วจะทำอย่างไร ทำลายจอกแหนอย่างไร น้ำนั้นจะมาเป็นประโยชน์อย่างไร

เหมือนกับทหารนะ สิ่งที่เขาเป็นทหาร เขาออกฝึกรบ ซ้อมรบ ทหารตั้งแต่สอบเข้าเป็นทหาร เขาต้องเรียนวิชาการก่อน แล้วออกฝึกซ้อม การฝึกซ้อมของทหารนั้น ถ้าเขายังไม่ได้ออกรบ ทหารนั้นยังไม่ได้เห็นภัย แต่ขณะที่เขาฝึกซ้อมของเขา แล้วเขาไม่เคยออกรบเลย เขาก็ทำการพัฒนาประเทศชาติ สิ่งที่เขาทำการพัฒนาประเทศชาติ เขาก็ได้ประโยชน์ของเขา เพราะเขาได้เงินเดือน เขาได้หน้าที่การงาน

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราไม่สามารถเห็นข้าศึก คือไม่สามารถยกวิปัสสนาได้ ถ้าเรายกวิปัสสนาไม่ได้ก็เหมือนทหารที่เขาฝึกซ้อมแล้ว เขาใช้ดำรงชีวิตในการรับราชการทหารนั้น แต่เขาไม่เคยออกรบเลย เพราะเขาไม่มีโอกาสออกรบ หรือเขาไม่มีอำนาจวาสนา หรือเขาปฏิเสธในการออกรบนั้น

แต่ถ้าทหารได้ออกรบนะ ถ้าทหารได้ออกรบ จะทำลายจอกแหน การถอนทำลายจอกแหนมันต้องมีการออกรบ ออกประหัตประหารกัน สิ่งที่ออกประหัตประหารกัน ถ้าทหารยังไม่เคยรบก็จะไม่เห็นข้าศึก เวลาซ้อมรบ เวลาฝึกฝนวิชาการทางทหาร เขาจะเริ่มฝึกฝนในการทำสงคราม สิ่งที่ทำสงคราม สิ่งนี้มันเป็นวิชาการทั้งหมดเลย แล้วเวลาออกภาคสนามก็เป็นข้าศึกสมมุติ สิ่งที่สมมุติจะทำกันเพื่อเอาคะแนน เพื่อเอาสิ่งนี้ผ่านหรือไม่ผ่าน สอบเป็นวิชาการเฉยๆ ถ้าทำอย่างนั้น มันไม่เป็นความจริงหรอก

สิ่งที่ไม่เป็นความจริงเพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่ว่า ถ้าเราไปเจอข้าศึกศัตรู เวลาข้าศึกศัตรู เวลาเราออกรบมันถึงกับชีวิตนะ ถ้าทำลายชีวิตกันเพื่อเขาจะเอาชนะคะคานกัน นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราจะชำระกิเลส สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราว่าเราจะชำระกิเลสๆ แล้วกิเลสมันอยู่ไหน

“ความว่างเปล่า” ความว่างเปล่าของการประพฤติปฏิบัตินะ ผู้ที่ไม่เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นรกสวรรค์นี้ไม่มี สิ่งนี้ไม่มี ชีวิตนี้เราใช้ตามแต่ความต้องการของเรา ในเมื่อเรามีสติ ในเมื่อเราทำคุณประโยชน์อย่างนี้แล้ว นี่คือชีวิตของเรา เขาก็ทำของเขาไปอย่างนั้น

นี้ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เป็นความว่าง สิ่งนี้เป็นความว่างเห็นไหม ความว่าง ว่างเปล่า ว่างเปล่าเพราะอะไร ว่างเปล่าเพราะไม่มีสติ ว่างๆ เข้าใจว่าสิ่งนี้ว่าเป็นธรรม มันเป็นธรรมไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธตั้งแต่อาฬารดาบสมาแล้ว ความว่างอย่างนี้ มันไม่มีการกระทำ ไม่มีการกระทำเหมือนทหารไม่เคยออกรบไง สิ่งที่ทหารไม่เคยออกรบ ไม่เคยเจอข้าศึก เป็นความว่างขนาดไหน นี่ก็เป็นความว่าง แล้วเข้าใจเอาเองว่าสิ่งนี้เป็นธรรม

ดูสิ เวลาคนเขาเล่นว่าว ที่เล่นว่าว เวลาว่าวขึ้นถึงลมบน เขาจะมีเชือก สิ่งที่มีเชือก ถ้ายังมีเชือกอยู่ มันมีสืบต่ออยู่ เราควบคุมว่าวของเราอยู่บนอากาศ เราควบคุมได้ เวลาเขาแข่งขันกันเห็นไหม เขาให้โฉบ เขาห้ามทำลายกัน เขาทำได้หมด แต่ถ้าว่าวเชือกขาดนะ ว่าวเวลาขึ้นไปถึงลมบนแล้วเชือกมันขาด เราควบคุมไม่ได้ นี่ไง ความว่าง ปราศจากความว่าง ว่างหมด ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรคือควบคุมไม่ได้ ว่าวเชือกขาด ไม่มีเชือกควบคุมมัน

ถ้าไม่มีเชือกควบคุมมัน เห็นไหม จิตมีอยู่ไง น้ำมีอยู่ เวลาเราแหวกจอกแหนเราเห็นน้ำอยู่ เห็นน้ำอยู่ แต่ไม่มีสติ สติควบคุมจอกแหน ไม่ให้จอกแหนปิดน้ำนั้น นี่ก็เหมือนกัน เวลาว่าวขึ้นไปถึงลมบน เวลาเชือกมันขาดไปแล้ว สติมันขาดไป ทีนี้สติขาดไปก็ควบคุมว่าวไม่ได้ พอควบคุมว่าวไม่ได้ ก็บอกว่าความว่าง สิ่งนี้เป็นความว่าง ความว่างไม่มีสิ่งใดๆ เลย ความว่างจับต้องไม่ได้...อย่างนี้หรือเป็นสภาวธรรม

ถ้าสภาวธรรม เวลาว่าวของเราขึ้นไปถึงลมบน เรามีเชือก เราจะควบคุมว่าวของเราได้ ความว่างมี ความว่างไม่ปราศจาก ความว่างไม่เป็นความเปล่า สิ่งที่เป็นความว่างเปล่าอันนั้นไม่ใช่ธรรม สิ่งที่เป็นความว่างเปล่านี้เป็นฤๅษีชีไพร เป็นสิ่งที่กำหนดไว้ แต่ขาดสติ

ถ้ามีสติมันจะเป็นความว่างเปล่าไปนะ ไม่ได้เพราะอะไร เพราะความว่าง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ คนทำความสงบของใจมันจะเข้าใจเลย ว่าสิ่งนี้มันสงบขนาดไหน มันปล่อยวางขนาดไหน กำหนดบริกรรมพุทโธๆ เข้าไป หรือผู้ที่ว่าเป็นพุทธิจริต คือ ผู้ที่มีปัญญา สิ่งที่ผู้มีปัญญา ปัญญา กำหนดพุทโธๆ มันจะไม่ยอมรับไง เพราะมันเป็นศรัทธาจริต มันต้องมีความเชื่อ มีความองอาจ มีความกล้ากำหนดพุทโธๆ สติควบคุมไปกับกำหนดพุทโธไป มันจะสงบได้ เพราะอะไร

เพราะคำว่าพุทโธเป็นคำบริกรรม จิตมันเกาะคำว่าพุทโธไว้พร้อมกับสติ สติกันจอกแหนไว้ มันจะเปิดจอกแหนออกให้เห็นน้ำเห็นไหม นี่มันต้องมีความมุมานะ มันต้องมีสติสัมปชัญญะแล้วพุทโธไปเรื่อยๆ มันจะเป็นขณิกสมาธิ คือวูบเข้ามา เห็นสภาวะความสงบบ้าง ถ้าขาดสติ พอว่าง ตกใจ หรือดีใจ จะติดสภาวะแบบนั้น กำหนดพุทโธไปเรื่อยๆ ตั้งสติไปอีก เริ่มต้นใหม่ จากขณิกะ จะเป็นอุปจาระ

อุปจาระ คือมันจะสงบลึกเข้ามาอีก มันลึกเข้าไป พอลึกเข้าไป อุปจาระนี่ลอกของจิต จิตนี้จะออกเห็นนิมิต ออกเห็นต่างๆ ถ้าอย่างนี้แล้วติดสภาวะแบบนี้ ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราต้องใช้กำหนดพุทโธๆ สติพร้อมเข้าไป อานาปานสติกำหนด หรือว่ากำหนดพุทโธได้ทั้งหมด พอได้ทั้งหมด เวลาจิตเข้าไปสงบเข้าไปเรื่อยๆ สิ่งนี้ เริ่มต้นตั้งแต่พุทโธจะเริ่มจางไป คำว่า “จางไป” มันจางไปเอง ไม่ใช่ว่าเราจะไปตั้งใจให้มันจางนะ

คำว่า “พุทโธเบาลงๆ” เราตั้งใจให้มันเบาลง เราไม่กล้าให้พุทโธได้ชัดเจน เรากลัวว่าจิตมันจะไม่เป็นความสงบ นี่กิเลสมันหลอกได้อย่างนี้

ขณะเราประพฤติปฏิบัติ ว่าวเชือกขาด เวลาเชือกขาด สติมันขาดไป ว่าวควบคุมไม่ได้ มันก็ไปตามแต่ลมจะพัดไป ไปตกที่ไหนก็ไม่รู้ ว่าวเป็นของเรา เราพยายามส่งขึ้นไปบนอากาศ เวลาเชือกขาดแล้วมันไปตกทวีปไหน หายไปเลย สิ่งนี้ไม่มี แต่ถ้ามี จะมีสติตลอดไป

พุทโธๆ ให้ชัดเจน สติให้ควบคุมให้เต็มที่ ความสงบของใจมันจะเป็นไปธรรมชาติของใจนั้นเอง ไม่ใช่เราไปคาดไปหมาย หรือเราไปต้องการให้เป็นสภาวะที่เราฟังครูบาอาจารย์มา สิ่งนี้เชือกจะขาดไป แล้วไม่เป็นประโยชน์ นี่ว่างอย่างนี้ว่างเปล่า ว่างเปล่าไง แต่ถ้าว่างมีสตินะ ควบคุมได้หมด

ตั้งแต่ปล่อยวางขนาดไหน ปล่อยวางเข้ามา จิตนี้ตั้งมั่นเข้ามา จนพุทโธๆๆ จนพุทโธไม่ได้ สงบลึกเข้าไปเป็นอัปปนาสมาธิ จิตนี้ตั้งมั่นมาก ความว่างอย่างนี้มีสติควบคุม แม้แต่ความว่างก็มีสตินะ ถ้าไม่มีสติเป็นเอกัคคตารมณ์ได้อย่างไร จิตนี้ตั้งมั่นได้อย่างไร ในเมื่อถ้าจิตนี้ตั้งมั่น จิตนี้ควรแก่การงานอย่างไร สิ่งที่ควรแก่การงาน ยกขึ้นวิปัสสนา นี่ทหารจะออกรบไง

ถ้าทหารจะออกรบ เขาต้องมีข้าศึก ทหารจะออกรบ ออกรบเพราะอะไร เพราะมีข้าศึก ถ้ามันรบในประเทศ เพราะเรื่องของความมั่นคง ถ้าเรื่องของความมั่นคงเป็นหน้าที่ของทหาร แต่ถ้าทหารไม่ยอมออกรบนะ มันบอกว่า นี้ไม่ใช่เรื่องความมั่นคง นี้เป็นคดีอาญา นี้จะเป็นหน้าที่ของตำรวจ นี้เป็นของผู้ที่รักษาความสงบในประเทศ ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร เพราะอะไร เพราะกิเลสมันครอบงำ เพราะกิเลสมันหลอกลวง กิเลสมันหลอกลวง กิเลสมันต้องการเอาจิตดวงนี้ไว้ในอำนาจของมัน มันไม่ให้ออกวิปัสสนาหรอก

ถ้าไม่ให้ออกวิปัสสนา มันจะเห็นโทษไง เห็นโทษผู้ที่ทำลายให้จิตนี้ต้องเวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะ ใครเป็นคนทำลาย? ก็กิเลสไงทำลาย กิเลสคือใคร? กิเลสคือความเคยใจ กิเลสคือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ที่อยู่ในหัวใจของเรา

เพราะเราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เราถึงได้สภาวะแบบนี้ ได้สภาวะแบบว่าลึกที่สุด ขณะเราปล่อยวางขนาดไหน สติพร้อม แล้วพยายามน้อมไปหากาย เวทนา จิต ธรรม นี้เป็นผู้ที่จะทำลายกิเลสไง ทหารจะออกรบ ถ้าทหารออกรบนะ มันจะเป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ เพราะอะไร เพราะมันจะเป็นวิปัสสนาญาณ

สิ่งที่เป็นวิปัสสนานะ สิ่งที่เป็นสมถะ สมถะคือความสงบของใจ ขณะที่เราทำความสงบของใจ ถ้าผู้ที่เป็นพุทธจริต สิ่งที่เป็นปัญญา ปัญญาคือ ความใคร่ครวญของจิต จิตนี้จะมีปัญญา แล้วจะไม่เชื่อสิ่งใดๆ ขณะที่ว่าพุทโธๆ มันจะมีความต่อต้านของกิเลส มันจะมีความต่อต้าน คือนั่งไปแล้ว ไม่ได้ประโยชน์ นั่งแล้วสิ่งที่จะโงกง่วง นั่งแล้วมันจะอึดอัด จะมีสิ่งต่างๆ

ให้ใช้ความคิด สิ่งที่ใช้ความคิดนี้เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธินี้เป็นปัญญาของเรา สิ่งที่ปัญญาของเรา เป็นโลกียปัญญา โลกียปัญญาอย่างนี้เป็นจอกแหน จอกแหนนี้คือขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขันธ์ ธาตุขันธ์นี้เป็นสมบัติของมนุษย์ ในเมื่อมนุษย์มีธาตุมีขันธ์ ธาตุนี้ ขันธ์นี้ คือสิ่งที่ได้มาโดยสถานะของมนุษย์

ขณะที่คิดออกไป ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วมีศรัทธาความเชื่อ เชื่อในการเกิด เชื่อในการตาย ไม่ใช่ตายแล้วไปให้ยมบาลถามว่าเห็นไหม ยังไม่ยอมเชื่อ นั้นเป็นคนที่ว่าจิตต่ำมาก จิตที่เป็นหยาบมาก จิตนี้เกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วตักตวงมรรคผลในศาสนาไม่ได้ แต่ขณะที่เรามีความเชื่อ เราเชื่อในศาสนา แต่เมื่อเราพยายามกำหนดพุทโธๆ แล้วไม่ได้ผล

ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คือใช้โลกียปัญญา ปัญญาคือ ปัญญาที่โลกเขาใช้กัน

สิ่งที่โลกเขาใช้กันนะ เขาใช้กันเป็นวิชาชีพ ดูผู้ที่ศึกษาทางวิชาชีพสิ ผู้ที่มีสติ ผู้ที่มีปัญญาเห็นไหม การศึกษาเล่าเรียนเขาจะได้ประโยชน์กับเขามาก ขณะศึกษาไป เขาจะมีปัญญาของเขา ศึกษาเหมือนกัน จบมาในชั้นเดียวกัน แต่ปัญญาไม่เท่ากัน นี้เพราะอะไร เพราะมันต่างกันด้วยจริตนิสัยนี้แหละ ขณะที่เราใช้อย่างนี้ เราก็ใช้สติของเรา แล้วควบคุมความคิด เอาความคิดนี้ มีสติพร้อม ถ้าคิดอย่างไรเกิดขึ้นมา สติพร้อมไป ตามเข้าไป

คิดนี้คิดเรื่องอะไร? คิดนี้คิดเรื่องโลก โลกสภาวะเป็นแบบนี้ แล้วเราเป็นโลกไหม เราก็เกิดในโลก โลกนี้มีเพราะมีเรา เราเกิดมาแล้วเราก็แบกรับภาระของโลก เราตายไปแล้ว โลกนี้ก็มี สังคมก็เป็นแบบนี้ สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของเขา แล้วเราไปแบกรับทำไม เราไปแบกรับเรื่องของโลก เราแบกโลกเราก็หนัก

ถ้าเราจะปล่อยโลก ปล่อยโลกคือใคร? ปล่อยโลกคือใจ จะปล่อยได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อความคิดมันก็หมุนอยู่อย่างนี้ มันปล่อยไม่ได้ สติตามไป คิดไปแล้วเหนื่อยไหม คิดไปสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับเราไหม ถ้าไม่เป็นประโยชน์ ทำไมคิดอยู่ล่ะ เห็นไหม สติตามไปเรื่อยๆ สติตามความคิดนี้ไป ถ้ามันพลิกอย่างนี้ มันจะปล่อยวางเข้ามาบ่อยๆ

โดยสัจจะความจริง พลังงานสิ่งใดก็แล้วแต่ ต้องหมุนไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีสิ่งใดคงที่ ความคิดก็ไม่คงที่ ความคิดเหมือนแขกจรมา เวลาความคิดแขกเข้ามาหาเราแล้วเราจะต้อนรับแขกอย่างไร สติธรรมต้อนรับแขก แขกมาหาเรา เราจะบริหารแขกอย่างไร

ถ้ามีสติ เริ่มตั้งแต่แขกมา แขกเข้ามา แขกคนนี้ คือว่าคนพาล ความคิดเป็นความโกรธ โกรธขึ้นมาเป็นคนพาล ถ้าเกิดเป็นความหลง แขกคนนี้เอาแต่ใจ ถ้าเกิดมาเป็นความโลภ แขกคนนี้ เข้ามาตีสนิทกับใจเรา นี่มันจะมีสติสัมปชัญญะบริหาร ดูไป แล้วมันดักได้ สิ่งที่บริหารแขกที่มา คือความคิดเกิดดับ ไม่ใช่เรา สิ่งที่ความคิดเกิดดับ ไม่ใช่เรา เราถ้ามีสติอยู่ ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันจะเริ่มเบาลงๆ เพราะอะไร

เพราะความคิดมันหยุดของมันเอง ถ้าไม่มีสติตามนะ คิดจนมันหยุดเอง เว้นไว้แต่สิ่งที่มันกระเทือนหัวใจรุนแรงมาก คิดไปจนถึงกับเสียสติก็มี แต่ถ้าความคิดนี้ไม่รุนแรง เป็นปกติของสามัญชนนะ ความคิดนี้ คิดไปเดี๋ยวก็หยุด เดี๋ยวก็เบาลง เดี๋ยวก็จางลง นี้เป็นสัจจะความจริงของมัน เพียงแต่ว่า กิเลสมันไปใส่ไฟ จะตามมันไปตลอด สิ่งนี้มันถึงเผาลนใจตลอดไปไง

ถ้าสติควบคุม แล้วเห็นการเกิดดับ ความคิดนี้มันหยุดได้เห็นไหม พอหยุดได้ เราเริ่มเห็น สิ่งที่หยุดได้ ตามรู้ตามเห็น “ตามรู้ตามเห็น รู้เท่ารู้ทัน รู้แจ้งแทงตลอด” มันเป็นสมาธิได้ มันปล่อยวางได้ ถ้ามันปล่อยวาง เราเห็นเป็นความปล่อยวางบ่อยครั้ง นี่เราควบคุมจอกแหนได้ เราแยกจอกแหนออกมาได้ ถ้าแยกจอกแหนได้ สิ่งนี้นี่เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันก็สงบเข้ามาได้ ถ้าสงบเข้ามาได้ เราก็ยกวิปัสสนาได้

ถ้ายกวิปัสสนาไป เห็นไหม ทหารออกรบ จะออกรบต้องเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ขั้นของทำความสงบ มันเป็นสติส่วนหนึ่ง “งานชอบ” งานชอบในสมถะ งานชอบในการหาใจของเรา หาน้ำในใจของเรา ใจเรามีน้ำ น้ำคือตัวใจ ความคิดคือจอกแหน ความคิดต่างๆ เราแยกออกมา เราต้องเห็นน้ำได้ น้ำมีอยู่ แต่เราไม่เคยทำ เราทำไม่ได้ เราเข้าใจว่าไม่เห็นน้ำ

แต่ถ้าเราพยายามของเรา ดินที่เป็นสิ่งที่เป็นแหล่งน้ำ ขุดลงไปไม่มากก็จะเจอน้ำ ดินที่อยู่ในที่แล้ง อยู่ในบนภูเขา ขุดไปมันก็ต้องมีความลึก นี่ก็เหมือนกัน อยู่ที่จริตนิสัย ใครสร้างบุญญาธิการมามากมาน้อย ถ้าสร้างมามาก เหมือนกับดินอยู่ในแหล่งน้ำ ขุดไปไม่กี่ทีก็เจอน้ำ แต่เราสร้างวาสนามาอย่างนี้ มันถึงเป็นจริตนิสัยของเรา มันเป็นอำนาจวาสนาของเรา เราจะไปเรียกร้องเอากับใครไม่ได้หรอก สิ่งนี้เราสร้างสมของเรามา เราก็ทำตามหน้าที่ของเราไป เราตั้งสติแล้วทำของเราไป

เพราะขณะปัจจุบันนี้เราเกิดมาพบพุทธศาสนา ธรรมและวินัยกำลังเจริญรุ่งเรืองมาก แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติ ตีเหล็กมันต้องตีตอนที่เหล็กมันโดนเผาไฟแดงๆ ตอนนี้ศาสนาในการประพฤติปฏิบัติกำลังเจริญรุ่งเรือง เราจะต้องตีเหล็ก เราจะต้องพยายามทำของเรา ในเมื่อเราทำของเรา เราไม่ต้องไปสนใจกับผู้อื่น

สิ่งที่เป็นผู้อื่น มันเป็นสมบัติของเขา เขาสร้างสมบุญญาธิการของเขามา เขาก็ได้ประโยชน์ของเขา ของเราเป็นอย่างนี้ ความสุขความทุกข์มันอยู่ที่ใจของเรา เราต้องใช้ประโยชน์ของเราในปัจจุบันนี้ หน้าที่ถึงต้องตั้งสติ แล้วพยายามใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ใคร่ครวญไป มันจะปล่อย ปล่อยมาๆๆ ถ้ากำหนดพุทโธก็เหมือนกัน จนถึงที่สุดนะ ใช้สติต้องมีความชำนาญ บ่อยครั้งเข้า ต้องบ่อยครั้งเข้านะ

ไม่ว่างเปล่าหรอก “ไม่ว่างเปล่า”

ว่างจริงๆ ว่างมีสติ ว่างมีสติเห็นไหม เวลาปล่อยทีหนึ่ง สงบทีหนึ่ง เวลามันคลายตัวออกมา อุปจารสมาธิคลายออกมา คลายนี้ว่างเพราะอะไร ถ้าว่างด้วยคำบริกรรม เราก็ต้องเอาคำบริกรรมนี้เป็นตัวตั้งแล้วพยายามเข้าไป ถ้าว่างด้วยปัญญาอบรมสมาธิ มันว่างเพราะอะไร เพราะสติเราทัน สติและเหตุผล มันเข้าไปลบล้างกิเลสที่มันคิดตามธรรมชาติของมัน

ถ้าปัญญาอบรมสมาธิมันจะมีปัญญา คือความคิดที่เข้าไปลบล้างความคิดของกิเลส แล้วมันจะมีสติพร้อมเข้าไป มันจะลบล้างๆๆ ลบล้างจนเหตุผลของกิเลสสู้ไม่ได้ ถ้าเหตุผลสู้ไม่ได้ บ่อยครั้งเข้าๆ เห็นความเป็นไปนะ เห็นตามความเป็นจริงนะ

กำหนดพุทโธก็เหมือนกัน ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็เหมือนกัน ถึงจุดหนึ่งแล้ว รูป รส กลิ่น เสียงต้องขาดออกไปจากใจ รูป รส กลิ่น เสียง มันเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เป็นสิ่งเครื่องล่อ เป็นสิ่งที่กิเลสเอาเหยื่อนี้ล่อใจ ถ้ามันล่อใจ มันก็กินเหยื่ออย่างนี้ มันก็เสวยอารมณ์อย่างนี้ นี่แขกมาแล้วบริหารไม่เป็น เอาแขกเป็นเรา เอาเราเป็นแขก คิดไปด้วยกัน แต่ถ้ามันรูป รส กลิ่น เสียงขาดออกมาเป็นกัลยาณปุถุชน แขกไม่ใช่เรา เราไม่ใช่แขก ความคิดไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ความคิด ความคิดเกิดเพราะสติเราอ่อน เราขาดสติ มันถึงออกเป็นความคิดได้

ถ้าสติเราทัน เราควบคุมได้หมด รูป รส กลิ่น เสียง เสียงกระทบขึ้นมา จะสรรเสริญนินทา จะเป็นสิ่งต่างๆ รูป เสียงต่างๆ กระทบใจ สติพร้อม สติกำหนดปั๊บจะปล่อยๆ นี่กัลยาณปุถุชน เป็นทหารที่ฝึกซ้อมแล้ว พร้อมที่จะออกรบ ถ้าจะออกรบ ออกรบในอะไร? ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ทั้งปัญญาอบรมสมาธิและสมาธิอบรมปัญญา ต้องน้อมไปที่กาย เวทนา จิต ธรรมโดยอริยสัจ โดยสัจจะความจริง

จะเจโตวิมุตติหรือปัญญาวิมุตติ ต้องย้อนกลับไปที่กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งนั้น

สิ่งที่ทั้งนั้นเพราะอะไร เพราะเราเกิดมา จิตเรา “กายกับจิต” กายเกิด เพราะมีมีอวิชชา เพราะจิตนี้ปฏิสนธิขึ้นมาถึงเป็นเรา ถ้าเป็นเราอยู่ แล้วมีอำนาจวาสนาพบธรรมรส ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาแก้ไข แล้วเรามีครูบาอาจารย์ชี้นำ เรามีศรัทธรา ความเชื่อ เราก็ประพฤติปฏิบัติมา แล้วเรามีอำนาจวาสนาด้วย

ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาก็เป็นทหารที่ฝึกซ้อมแล้ว แล้วยกขึ้นวิปัสสนาไม่ได้ ก็เป็นทหารนักพัฒนา เป็นทหารอาชีพ ได้อาชีพของทหาร ได้เงินเดือน ได้หน้าที่การงาน สิ่งที่ได้หน้าที่การงาน มันก็ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ไม่เข้าอริยมรรค อริยผล มันก็เป็นการปฏิบัติบูชา ทำให้ภพชาติสั้นเข้า ทำให้สิ่งนี้เป็นสร้างสมให้เป็นจริต เป็นนิสัย

ดูจูฬบันถกสิ จูฬบันถกเกิดมาในสมัยพุทธกาล เกิดมากับพี่ พี่เป็นพระอรหันต์ ตัวเองปฏิบัติขนาดไหนก็ไม่ได้ จนพี่ชายไล่ให้สึก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณแล้วเห็นนิสัย ไปรอเลย รอที่หน้าวัด

“จูฬบันถกจะไปไหน”

“พี่ชายไล่ให้ไปสึก”

“เธอบวชเพื่อใคร”

“บวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

“มานี่”

ให้ลูบผ้าขาว ลูบผ้าขาว เพราะอะไร เพราะจูฬบันถกอดีตชาติเคยเป็นกษัตริย์ แล้วออกตรวจพลสวนสนาม เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ด พอเช็ดหน้าออกมา กษัตริย์ สิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก เห็นความสกปรกของผ้าเช็ดหน้า มันฝังใจ มันเหมือนกับ เราประพฤติปฏิบัติ แล้วมันเป็นจริตนิสัย มันฝังใจไป พอฝังใจ พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ลูบผ้าขาว นี่เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พร้อมกับฤทธิ์เดช นั้นคือ จูฬบันถก

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติแล้วไม่เข้าอริยมรรค อริยผล สิ่งนี้เป็นการสร้างสมอำนาจวาสนา แต่ถ้าไม่เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ชี้นำให้เข้าถึงตรงกับจริตนั้นมันก็จริตนิสัยอันนี้มันก็อยู่ในหัวใจนี้ สิ่งนี้เคลื่อนไปๆ เหมือนกับผู้ที่เกิดมาแล้วมีอำนาจวาสนา แต่เขาไม่ทำคุณงามความดีต่อไปไง อำนาจวาสนาเกิดจากบุญญาธิการอย่างนี้ นี่เป็นอามิส

สิ่งที่เป็นอามิสคือ สร้างคุณงามความดีแล้วเกิดในสถานะของบุญพาเกิด สิ่งที่เป็นสร้างบาปอกุศล สิ่งที่เกิดมา เกิดทุกข์ เกิดยาก เพราะบาปพาเกิด แต่ถ้ามีจริตนิสัย พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล พระสีวลีลาภมหาศาลเลย พาหิยะหาบาตรยังไม่ได้เลย พระอรหันต์ก็ต่างกัน ความต่างกันอย่างนี้อยู่ที่อำนาจวาสนา อยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่สติปัญญา สติที่เราจะค้นคว้า ถึงต้องน้อมออกไปในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม นี่ทหารออกรบ

ถ้าทหารออกรบนะ เห็นกายโดยเจโตวิมุตติ พยายามใคร่ครวญ ใคร่ครวญสิ่งที่เป็นกาย ถ้าเป็นปัญญาวิมุตติ ปัญญาจะพิจารณากายก็พิจารณากายโดยเห็นกาย เพราะอะไร เพราะมันเห็นจิต ปัญญาวิมุตติจะเห็นตัวจิต จิตนี้พลิกไปที่กาย กายนี้มาจากไหน? กายนี้มาจากกรรม มาจากสิ่งต่างๆ ปัญญาจะใคร่ครวญไป ถ้าเรารบแล้วเราชนะนะ เราชนะ เราจะต่อสู้ กิเลสจะถอย เหมือนกองทัพเข้าประหัตประหารกัน

การรบนะ มีกิเลสกับธรรมต่อสู้กัน ถ้าเราเป็นฝ่ายชนะ กิเลสจะถอย แต่ถ้ากิเลสมันมีความเข้มแข็ง เรารุก รุกจนเคย รุกจนสิ่งที่ว่า รุกจนสิ่งที่การส่งบำรุง การส่งบำรุงกำลังไม่ทัน รุกจนไกลเกินไป ถ้ากิเลสเขารวมตัวกัน แล้วเขาต่อต้านมา เขารบมา ไพร่พลของเราจะโดนเขายิงต่อหน้า กำลังพลของเราจะน้อยลงๆ มันสลดไหม

ขณะที่กิเลสมีกำลังนะ ขณะที่วิปัสสนาในการต่อสู้ ถึงบอกว่า เวลาแยกจอกแหน การต่อสู้ มันจะมีการกระทำกันระหว่างธรรมกับกิเลสกำลังต่อสู้กัน ถ้าการต่อสู้กัน กำลังเราดี เราสามารถชำระกิเลส กิเลสจะถอยตัวลงไป สิ่งนี้สิ่งที่เป็นไปโดยเจโตวิมุตติ นี่วิปัสสนาไปมันกลับคืนไปเป็นสภาพต่างๆ เวลาเห็นกาย ถ้าจิตมีกำลัง รำพึงไป มันจะแปรสภาพของจิตนี้ไป กายนี้แปรสภาพไปเป็นสิ่งเน่าเปื่อยต่างๆ สิ่งนี้จะเห็น เห็นก็สลดใจ สลดใจ กิเลสโดนภาวนามยปัญญาของผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นเข้าไปทำลาย อย่างนี้คือการรบของทหารบก

สิ่งที่ทหารบก รบกันบนพื้น รบกันบนสถานที่ ยึดชัยภูมิที่การต่อสู้กัน สิ่งที่ต่อสู้ ทำลายกันตลอดไปๆ ถ้ากำลังเราดีนะ สิ่งที่กำลังเราดี กำลังดีตรงไหน? ดีตรงกลับมาที่สมถะ งานชอบ ขณะที่เป็นสมถะ มีสติ สตินี้การงานชอบ คือการใคร่ครวญ คือการเพิ่มกำลัง คือการส่งกำลังบำรุง ถ้าการส่งกำลังบำรุง อาหารก็พร้อม ยุทธปัจจัยพร้อมทุกอย่าง ถ้าพร้อมทุกอย่างมันจะออกรบ มันจะชนะข้าศึกไปเรื่อยๆ เพราะมีแผนการ แผนคือการบัญชาการของปัญญา

สิ่งที่เป็นปัญญา งานชอบ เพียรชอบ สิ่งที่ปัญญาใคร่ครวญไป ระลึกชอบ กองทัพเราจะรุก รุกทำลายไปเรื่อย ชนะไปเรื่อย ทำแล้วทำเล่า ต้องต่อสู้กัน เพราะอะไร เพราะกิเลสมันต่อสู้มาก กิเลสมันต้องการสงวนรักษา ต้องการยึดพื้นที่ ต้องหาที่ชัยภูมิที่เป็นการต่อต้านไว้ เพราะอะไร เพราะกิเลสคืออวิชชา สิ่งที่อวิชชาเกิดมาจากปฏิสนธิจิต จิตนี้เกิดจากครรภ์ของมารดาเป็นเรา อวิชชามันยึดชัยภูมิในหัวใจของเราไว้แล้ว

แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ธรรมวินัยที่วางไว้ แล้วเราเชื่อธรรม เรามีสติ มีปัญญา เราทำใคร่ครวญขึ้นมา เราสร้างสมขึ้นมาจนเป็นโสดาปัตติมรรค สิ่งที่เป็นโสดาปัตติมรรค คือภาวนามยปัญญานี้คือเข้าไปทำลายกิเลส ถ้ายังไม่มีการทำลายกิเลส เห็นไหม ความว่างเปล่าอย่างนั้น สิ่งนั้น ความว่างเปล่าอย่างนั้น มันไม่เป็นวิปัสสนา

สิ่งที่มีสติสัมปชัญญะ คือว่าวที่มีเชือกดึงอยู่ บังคับอยู่ตลอดไป จิตนี้ถึงบังคับได้ จิตนี้ถึงยกวิปัสสนาได้ จิตนี้ถึงเข้าไปทำลายกิเลสได้ แล้วทำลายกิเลสได้ สิ่งนี้ต่างหากคือการทำลายกิเลส เพราะมันเจอข้าศึก มันเจอกิเลส การต่อสู้ การสงครามทำลายกัน สิ่งที่ทำลายกัน มันต้องมีผู้ที่พ่ายแพ้ ผู้ที่ชนะ นี่การต่อสู้อย่างนี้มันเกิดจากวิปัสสนานะ

วิปัสสนา ปัญญาอย่างนี้ ภาวนามยปัญญาอย่างนี้มันทำลายกันอย่างนี้

บอก ปล่อยวางขนาดไหน การปล่อยวางนี้เป็นตทังคปหาน คือปล่อยวางชั่วคราว ถ้าการปล่อยวางชั่วคราวอย่างนี้ แล้วถ้ากิเลสมันมีอำนาจขึ้นมา มันเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นธรรม นี่ว่างเปล่าๆ ว่างเปล่าเพราะอะไร เพราะมันไม่มีสิ่งตอบสนอง ไม่มีความเป็นไป

สิ่งที่วิปัสสนาไปถึงที่สุด การวิปัสสนา การกระทำต่างๆ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องมีหนเดียว “หนเดียว” หมายถึงว่า เวลามันขาด การขาดนี้ขาดหนเดียว แต่การวิปัสสนาไป การขณะต่อสู้กัน ยึดพื้นที่กันมันมีการแพ้ การชนะตลอดไป การแพ้หรือการชนะนี้มันไม่เป็นหนเดียว มันเป็นการต่อสู้กัน จนกว่าจะมีการยอมแพ้ ทำสนธิสัญญายอมแพ้เมื่อไหร่นั้นคือหนเดียว สนธิสัญญายอมแพ้แล้ว สนธิสัญญายอมแพ้ เขายังฉีกสนธิสัญญากันได้ นี่คือทางโลก

แต่ถ้าเป็นอริยมรรค ขณะที่ถึงที่สุดแล้วเป็นอกุปปะ เป็นความเป็นไปของจิต จิตนี้มันทำลายไป กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ วิปัสสนาโดยปัญญาวิมุตติก็เหมือนกัน พิจารณากายว่า ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิ ๒๐ ต้องขาดออกไป สิ่งที่ขาดออกไปอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นการชนะหนเดียว

แล้วก็สติพร้อม สิ่งนี้มี ความว่างของพระโสดาบันมี สิ่งที่เป็นความว่างพระโสดาบัน พระโสดาบันมีความว่างขนาดไหน สติสัมปชัญญะพร้อม ความรู้สึกของใจพร้อม นี่มีไปตลอด แม้แต่กัลยาณปุถุชน ขั้นของสมถะ สิ่งที่เป็นขั้นของสมถะ งานชอบในขั้นของสมถะ สติก็พร้อมเข้ามา เหมือนบังคับว่าวตลอดไป เชือกบังคับตลอดไป สติคือตัวเชือก จับไว้ตลอดไป ไม่มีขาด ถ้าสิ่งที่ขาดเพราะเชือกขาดไปแล้ว สิ่งนี้วิปัสสนาไม่ได้

มรรค ๘ สติชอบ ปัญญาชอบ สมาธิชอบ สิ่งนี้ต้องมีชอบหมด ถ้าขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป สิ่งนั้นไม่เป็นภาวนามยปัญญา สิ่งนั้นไม่สามารถรวมเป็นสมุจเฉทปหาน ไม่เป็นมรรคสามัคคีได้ เพราะไม่สมควร ไม่สมดุล มันเป็นไปไม่ได้ ขณะที่เขาล้ม สิ่งนี้ล้มแล้วลุกต่อสู้ไป

การปกครองโลก โลกคือเรา โลกคือตัวโลกภายใน คือตัวอวิชชา คือตัวเจ้าวัฏจักร คือสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจ การจะปกครองโลก การชนะในพื้นที่ สิ่งนี้เป็น ๑ ใน ๓ ของโลก สิ่งที่เป็นน้ำ ในสิ่งที่เป็นน้ำ ทหารเรือ สิ่งที่ทหารเรือรบกันในการเรือ การจะครองโลกต้องยึดสิ่งที่เป็นการคมนาคม เป็นการส่งบำรุง ถ้ายึดทะเลได้ ผู้ใดครอบคลุมทะเล ผู้นั้นจะครองโลก

สิ่งที่ครองโลก นี่ถึงวิปัสสนาต่อไป ทหารต้องออกรบ ต้องรบกับกิเลสตลอดไป ไม่ใช่ว่าชนะ เราควบคุมพื้นที่ได้แล้วเราชนะนะ มันยังเกิดตาย มันยังเป็นไป เรายังครองโลกไม่ได้หรอก ใจเรายังครองไม่ได้ มันยังมีกิเลสอย่างละเอียดในหัวใจ ถ้ามีกิเลสอย่างละเอียดในหัวใจ เราจะครองโลก เราจะควบคุมไม่ให้สิ่งนี้มันไปเกิดไปตายอีก

การเกิดและการตาย เราเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เราจะประพฤติปฏิบัติแก่นของศาสนา

การจะต่อสู้กับการทางทะเล ทางบนพื้นที่ เราจะมียุทธปัจจัยอย่างหนึ่ง การลงไปในทะเล ต้องมียุทธปัจจัยอย่างหนึ่ง ยุทธปัจจัยเห็นไหม กายนอก-กายใน-กายในกาย ยุทธปัจจัยการต่อสู้ต่างกันทั้งนั้น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่มีธรรมในหัวใจมันจะเข้าใจสัจจะความจริงอย่างนี้ไง เข้าใจสัจจะความจริง หมายถึง มรรคหยาบ มรรคละเอียด

มรรคหยาบ หมายถึง การยึดพื้นที่ การทำลายเป็นพระโสดาบันนี้อันใดอันหนึ่ง แล้วมรรคละเอียดขึ้นไปล่ะ ไม่ใช่ว่าสิ่งนี้มันจะว่างเปล่า ว่างเปล่าไม่ได้ เพราะเป็นอกุปปะ สิ่งนี้มันเป็นส่วนหนึ่ง แต่ว่างเปล่าจากข้างบนเพราะอะไร เพราะมันเปล่า เปล่าเพราะเราจับต้องไม่ได้ เปล่าเพราะเราไม่มียุทธปัจจัย เราไม่มีเรือ เราไม่มีสิ่งใดจะออกไปทำสงคราม

เขาเข้ามานะ ปิดปากอ่าวนะ ปิดล้อมเรา ปิดล้อมนะ ก็ตายแล้ว เพราะอะไร เพราะเราไม่สามารถออกทะเลได้ เราไม่สามารถออกไปหาสัมปยุทธปัจจัยเข้ามาเปิดให้เราหายใจได้

นี่ก็เหมือนกัน กายอย่างละเอียด กายภายใน ถ้าวิปัสสนาต้องทำความสงบของใจ ใจทำไมต้องสงบล่ะ ในเมื่อมันเป็นโสดาปัตติผลแล้ว โสดาปัตติผล มรรคสามัคคีมันรวมตัว มันทำลาย ทำลายสงบไป เหมือนเงินที่เราใช้หมดแล้ว เงินที่เราซื้อสิ่งเป็นสัมปยุทธปัจจัยมาแล้ว นี่คือใช้ไปแล้ว จบไปแล้ว แต่ขณะที่ทำใหม่เราก็ต้องมีเงินใหม่ ต้องมีต้นทุนใหม่ การต่อสู้มันต้องมีงบประมาณ มันต้องมีการสิ่งที่ออกมาเป็นต้นทุน

นี่ก็เหมือนกัน ต้นทุน คือตัวหัวใจไง ต้นทุน คือตัวกายและใจตัวนี้ ถ้าต้นทุนนี้เราก็กำหนดพุทโธเข้ามา กำหนดปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิก็ทำความเพียรเข้ามา จิตมันจะพัฒนาเข้าไป จอกแหนมีปิดขนาดไหน ต้องเปิดออกๆ จอกแหนก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด ตลอดไปนะ

กิเลสอย่างหยาบๆ ก็จอกแหนที่เห็นได้ จับต้องได้

กิเลสอย่างละเอียดขึ้นไป จอกแหนความคิดจากภายใน

“จอกแหน” จอกแหนก็เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ จอกแหนถ้าเราไม่ทำลายมัน สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เป็นทางเดินของกิเลส กิเลสอาศัยสิ่งนี้ออกมาปิดบัง กิเลสอาศัยสิ่งนี้ออกมายึดพื้นที่ ยึดหัวใจไว้ ยึดสิ่งที่มารมันอาศัยใจดวงนี้ไง

ถ้าเราใช้สติ เราใช้คำบริกรรมแยกออกๆ จนเห็นมีแหล่งน้ำ แหล่งน้ำนั้นคือตัวสัมมาสมาธิ คือตัวน้ำใจ ตัวใจของมันตั้งมั่นขึ้นมา แล้วยกขึ้นวิปัสสนา มันจะเป็นกายในกาย สิ่งที่กายเป็นกาย ออกรบโดยภาคทะเล สิ่งที่ภาคทะเล การสัมปยุตกันในทางทะเล ทะเลนี้กว้างขวางมาก ยุทธปัจจัย การรบ การวางแผน การโอบล้อม การสิ่งต่างๆ

นี่ก็เหมือนกัน วิปัสสนากายมันไม่เหมือนกับรบบนบกหรอก รบบนบกเรามีพื้นที่ เรารบได้ เรารบในทะเล เราอยู่ในน้ำ เราจะรบอย่างไร ถ้ารบในน้ำ เรือเราจะตีโอบอย่างไร การวิปัสสนากาย มันจะกลับคืนไป น้ำเป็นน้ำ ดินเป็นดิน ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ตามสัจจะความจริง

ถ้าความว่างเปล่ามันไม่มีรู้จริง มันไม่เห็นจริงสิ่งใดๆ เลย

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง ธรรมก็เป็นของจริง ความเห็นนั้นก็เป็นของจริง วิปัสสนาออกไปแล้ว กายเป็นกาย จิตเป็นจิต แยกกันออกเป็นของจริง ต่างอันต่างจริงนะ อุปาทานแยกออกไป สิ่งที่แยกออกไป กามราคะ-ปฏิฆะนี่อ่อนลง นี่ยึดได้ทั้งหมด

สิ่งที่ยึดได้ทั้งหมด แล้วโลกอยู่กันได้อย่างไร เรายึดโลกแล้วหรือ?

ยัง ยึดทั้งแผ่นดิน ยึดทั้งแผ่นน้ำนะ แต่อากาศเรายึดไม่ได้ ยุทธปัจจัยทางอากาศนะ สิ่งที่ยุทธปัจจัยทางอากาศ เครื่องบินรบ แต่ละลำมันมีราคาเท่าไร แล้วยุทธปัจจัยทางอากาศอยู่ที่ไหน ต้องมีสนามบิน ต้องมีต่างๆ ต้องมีการบัญชาการ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดว่า เรายึดบก ยึดทะเลหมดแล้ว สิ่งนี้เป็นอยู่ในอำนาจของเรา จิตนี้ปล่อยวางหมด ว่าง ว่างอย่างนี้มันว่างเปล่าจากกามราคะนะ มันยังไม่เห็นกามราคะ สิ่งที่ยังจับกามราคะไม่ได้มันก็ว่างเปล่า

ไม่ว่างเปล่าหรอก สิ่งนี้ยังติดในกามราคะ สิ่งที่ติดในกามราคถมันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องรบกันกลางอากาศ สิ่งที่กลางอากาศ เห็นไหม กามราคะเกิดจากไหน? กามราคะเกิดจากความพอใจ เราพอใจ จิตเราต้องการ มันพอใจมันเกิดจากจิตก่อน จิตนี้ สิ่งที่เวลาเขามีกามราคะกัน เขาเสพสัมพันธ์กันในเรื่องของโลก นี่มันเป็นเรื่องของเขา แต่ของเราไม่ต้องเสพหรอก ภิกษุถือพรหมจรรย์ ทำไมมันคิดได้ล่ะ มันมีความพอใจนะ ภิกษุหนุ่ม สิ่งนี้มันกวนใจมาก ถ้ามันกวนใจมาก เพราะอะไรล่ะ เพราะสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ สิ่งนี้เป็นความต้องการของจิต จิตนี้มันเป็นธรรมชาติของมัน สิ่งนี้มันเป็นโอฆะ กามราคะอยู่ในหัวใจ มันมีอยู่แล้ว นี่รบกันกลางอากาศ

กลางอากาศ คือความเป็นนามธรรมไง สิ่งที่เป็นนามธรรม รบกลางอากาศ สิ่งที่เราสร้างสม ยิงกัน ต่อสู้กัน เวลาเครื่องบินรบนะ แต่ละลำมีราคาเท่าไร เวลามันต่อสู้กัน เครื่องบินรบขณะต่อสู้กัน ยิง ทำยุทธปัจจัยทางอากาศ ต้องต่อสู้กัน ต้องประหารกัน นี่ก็เหมือนกัน แล้วจะต่อสู้กับใคร ถ้าไม่เห็นกิเลส ไม่เห็นกามราคะ จะเอาอะไรไปยิงมัน แล้วสิ่งที่ยุทธปัจจัย เครื่องบินเราอยู่ไหน

ถึงว่า จอกแหนอันละเอียดต้องแยกออกอีก สิ่งที่แยกต่างๆ แยกความเป็นไปของสิ่งที่เป็นความว่างๆ ว่าว่างๆ ขนาดไหน ความว่างนั้นว่างโดยปราศจาก

แต่ถ้าทางความว่างของมรรค มันมีสติ มันมีสิ่งที่ควบคุม มันเป็นว่าวที่มีเชือก มันจะโฉบจะทำลายขนาดไหน มันเป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ นี่ไง ถ้ามีสติ การกระทำของเรา การประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะเป็นคุณธรรมของเรา

อนาคามรรคนะ สิ่งที่เป็นอนาคามรรคมันจะจับกามราคะได้ ถ้าไม่เป็นอนาคามรรค มันว่างอยู่อย่างนั้นโดยปราศจากสิ่งที่เป็นกามราคะ ปราศจากเพราะมันจับต้องไม่ได้ เห็นไม่ได้ เห็นไม่ได้นี่อำนาจวาสนาของผู้ประพฤติปฏิบัติมีอย่างนี้ก็มี แต่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นผู้ชี้นำ เป็นผู้ที่ว่าเตือนสติ สิ่งที่ว่างๆ ว่างๆ มันมีความยอกใจไหม มันมีสิ่งใดสะเทือนหัวใจไหม

ถ้ามีสิ่งสะเทือนหัวใจ เราทำความสงบอย่างนี้ มันต้องใช้เครื่องมือไง มันต้องสร้างเครื่องบินไง สิ่งที่เป็นเครื่องบินต้องสร้างเรดาร์ ต้องสร้างสิ่งที่ว่าสิ่งที่ควบคุมการบิน การจะบิน ต้องสร้างฐานก่อน ถ้าสร้างฐาน ฐานนี้ถึงแยกย้อนออกไปมันถึงจะเป็นอนาคามรรค อนาคามรรคมันต้องมีฐานของมัน มันต้องมีฐาน

ค่าของใจ คือน้ำ น้ำสิ่งนี้ สิ่งที่น้ำ คือสิ่งที่เป็นความจริงของใจนี้ นี่คือตัวฐาน แล้วสร้างเครื่องบิน เครื่องบินคืออะไร? เครื่องบินคืองานชอบ สิ่งที่งานชอบ เพราะการรบโดยยุทธการทางอากาศ เพราะอะไร เพราะกิเลสกามราคะมันเกิดดับๆ มันมีความเสียดสีในหัวใจ ในหัวใจมันเสพตัวมันเอง มันปั้นเรื่องขึ้นมา มันหลอกลวงในหัวใจ มันสร้างภาพได้ มันจินตนาการเป็นเรื่องๆ ของมันอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ สิ่งนี้ยุทธการทางอากาศ

ถ้าจิตสงบขึ้นมา สร้างฐานอย่างนี้ได้มันจะย้อนกลับไป ถ้าย้อนกลับไปเห็น จับสภาวะแบบนี้ได้ เห็นกายเป็นอสุภะ ถ้าเห็นกายเป็นอสุภะ อสุภะ-อสุภัง คือความ...สิ่งที่เป็นอสุภะ นี่คือสภาวธรรม คือจิตที่มีหลักมีเกณฑ์จะเห็นสิ่งนี้เป็นอสุภะ แต่ตัวกิเลสมันเป็นสุภะ มันเป็นความสวย ความงาม มันเป็นความพอใจของมัน มันคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นความสวยความงาม เพราะมันคิดว่ามันไม่ตาย มันจะอยู่ของมันคงที่ มันจะอยู่คงกระพันของมัน แล้วมันจะติดว่าสิ่งนี้จะสวยงาม จะไม่แปรสภาพ จะไม่เป็นไป มันยึดมั่นถือมั่นของมัน

แต่เวลาวิปัสสนาไป สิ่งนี้มันจะแปรสภาพ มันเป็นอสุภะ อสุภะเพราะอะไร เพราะเป็นธรรม เป็นธรรมเพราะมีสติมีปัญญา มีการใคร่ครวญ สิ่งที่เป็นงานชอบ งานชอบของขั้นอสุภะนะ ปฏิฆะ-กามราคะ สิ่งนี้มันฝังใจ สิ่งนี้ฝังใจ ใคร่ครวญไป ยุทธการทางอากาศต่อสู้กัน ยิง ขณะต่อสู้ยิงโดยเรดาร์ต้องจับเป้าหมายให้ได้ แล้วพยายามปล่อยอาวุธของเราให้โดนเครื่องบินเขา ถ้าโดนมันก็ปล่อย มันก็วาง สิ่งที่วาง แล้วการต่อสู้กับกิเลส มันมีเครื่องบินลำเดียวหรือ?

มันเป็นกองทัพๆ นะ การเป็นกองทัพมันต้องวิปัสสนาบ่อยครั้งเข้า สิ่งนี้มันรุนแรงมาก รุนแรงเหมือนน้ำป่า ขณะที่เขาเข้ามาโดยมีเครื่องบินมาเป็นฝูง เขามีเครื่องบิน เครื่องบินเติมน้ำมันนะ เขามีสิ่งต่างๆ เขาอยู่บนอากาศได้ตลอดไปนะ เพราะเขามียุทธปัจจัยกลางอากาศนะ กามราคะมันอยู่บนความรู้สึก นี่มันปั้นเรื่องของมัน มันปลิ้นปล้อน มันพลิกแพลง พลิกกินนอนกินอยู่ในใจของเรา เราจะต่อสู้กับมันอย่างไร นี่มันต่อสู้แล้วมันก็ท้อถอย มันก็ยุบยอก มันสะเทือนหัวใจ

ถึงจะต้องมีครูอาจารย์คอยให้กำลังใจนะ ท้อถอย พ่ายแพ้มาก็กราบครูบาอาจารย์

ทำอย่างนี้แล้วมันเป็นอย่างไร ทำอย่างนี้ สู้อย่างไร ทำจนสุดกำลังแล้ว นี่ส่งกำลังบำรุง ส่งกำลังบำรุงเข้าไป มีสติสัมปชัญญะต่อสู้ไป ต่อสู้บ่อยครั้งจากแพ้ก็ยันกันจนกองทัพเรากับกองทัพเขายันกันบนกลางอากาศได้ อสุภะด้วยละเอียดเข้าๆ สิ่งนี้มันต้องใช้กำลังมาก ถึงที่สุดจากแพ้เป็นเสมอ จากเสมอรุกเป็นฝ่ายรุก รุกเข้าไปๆ ด้วยมหาสติ-มหาปัญญา

ขณะที่เป็นมหาสติ-มหาปัญญา กำลังมันมีมหาศาล สิ่งที่มหาศาล ยุทธปัจจัยกลางอากาศ การต่อสู้กันเพื่อทำลายกามราคะ ถึงที่สุด ถ้ามีอำนาจวาสนา มีการกระทำอยู่ตลอดไป อำนาจวาสนาคือการกระทำ คือกรรมของเรา ถ้าเราต่อสู้ไป นี่ปัญญามันเกิด การกระทำนี้เกิดขึ้นมาแล้ว การรุกนี้เกิดแล้ว ในเมื่อมีการยุทธปัจจัย มีการต่อสู้กันอยู่แล้ว

ถ้าเรามีกำลังใจ การอดนอน การผ่อนอาหาร การอยู่คนเดียว สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติเลย

ขณะที่เราปฏิบัติขึ้นมาไม่ได้ ออกคนเดียวนี่ว้าเหว่มาก ทุกข์มาก มีความลังเล มีความกลัวมาก ขณะที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จนยุทธปัจจัยกลางอากาศอย่างนี้มันไม่ยอมอยู่กับใครนะ พูดกับใครคำเดียวก็เสียเวลา เพราะอะไร เพราะหัวใจมันปั่นอยู่ตลอดเวลา ภาวนามยปัญญาจะหมุนอยู่ตลอดเวลาอยู่ภายในหัวใจ มันกำลังต่อสู้กัน ต่อสู้กันตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะมันไฟได้เชื้อ

เพราะสิ่งที่การยึดการเกิดขึ้นมาอยู่แล้ว การยึดเกิดขึ้นมานะ แล้วอยู่ที่บนอากาศ มันไม่มีแผ่นดินรองรับ ทำไมมันจะไม่หมุน ทำไมไม่ต่อสู้กัน แล้วมันจะมาพูดกับใคร จะมาเสียเวลากับใคร มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ทหารออกรบมันจะเป็นสภาวะแบบนี้ไง รบจนถึงที่สุด ยันกันจนถึงที่สุด จนชนะจนสุดกำลังที่สุด นี่ทำลายทั้งหมด

ยุทธปัจจัยกลางอากาศทำลายกองทัพเขาทั้งหมด กองทัพเราก็ทำลาย ขณะที่มรรคสามัคคีรวมกัน สิ่งนี้พลิกฟ้าคว่ำดิน เรายึดได้ทั้งแผ่นดิน ยึดได้ทั้งแผ่นน้ำ โลกทั้งหมด แล้วอากาศทั้งหมดเห็นไหม สิ่งนี้ฝึกซ้อมๆ เข้าไป พรหม ปล่อยวางหมด โลกนี้ว่างหมด ว่างโดยปราศจากหรือ? ความว่างอย่างนี้ เราครองโลก โลกอย่างนี้หรือ โลกนี้อยู่ในอะไร? โลกนี้อยู่ในจักรวาล โลกนี้อยู่ในกาแล็กซีนี้

แล้วสิ่งนี้อวกาศล่ะ การรบในอวกาศนะ การส่งอวกาศ ดูสิ ในโลกเรามีชาติใดบ้างที่มีเทคโนโลยีส่งสิ่งต่างๆ ขึ้นไปบนอวกาศได้ เขามีเทคโนโลยีส่งยานอวกาศขึ้นอากาศได้ นี่ก็เหมือนกัน ผู้ที่มีอำนาจวาสนานะ การรบในอวกาศ คืออวกาศของจิต อวกาศของธรรม

เราว่าปราศจากความว่าง ว่างนี้ไม่มีตัวตนของกู สิ่งที่มันไม่เป็น

นั่นแหละ โมฆราช โลกนี้มีเพราะมีเรา ความว่างนี้มี อวกาศนั้นยังมีอยู่ จักรวาลนี้ยังมีอยู่เห็นไหม กามราคะทำลายแล้ว สิ่งที่ยึดโลกได้ทั้งหมด แต่โลกนี้มันอยู่ในจักรวาล โลกนี้อยู่ในวัฏฏะ สิ่งที่อยู่ในวัฏฏะเพราะอะไร เพราะเกิดเป็นพรหม พระอนาคามีไม่มาเกิดอีก นี่ทำลายกามภพหมดแล้ว แต่เขายังมีรูป ยังมีพรหม ยังมีรูปภพอยู่ ยังมีรูปราคะ อรูปราคะ รูปฌาน อรูปฌาน เป็นราคะ ความว่างนี่เป็นราคะ โลกนี้ว่าง ว่างหมด ความว่างเป็นราคะ สิ่งที่เป็นราคะคือมันก็เป็นสังโยชน์สิ สังโยชน์ กามราคะ รูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา

อวิชชา คือมันไม่รู้ มันไม่รู้อะไรของมันเลย นี่ยุทธปัจจัยในอวกาศ สิ่งที่ในอวกาศ เราจะมีสิ่งใด เราจะมียานอวกาศอะไรขึ้นไปในอวกาศ ขึ้นไปในการทำลายกันในอวกาศ นี่คือการรบ การรบของทหาร การฝึกซ้อมของทหาร ผู้บัญชาการจะมีเชาวน์ปัญญา จะควบคุมกองทัพ จะยึดจักรวาล จะยึดกามภพ ยึดไตรลักษณ์ ยึดวัฏฏะนี้ในหัวใจ พลิกคว่ำหมดนะ

สิ่งที่จะพลิกคว่ำฟ้าคว่ำดิน พลิกทำลายอวกาศ ควบคุมอวกาศ ถึงที่สุด สิ่งที่ต่างๆ อยู่ที่ไหน ความคิดออกไปนี่อวกาศจับต้องไม่ได้ อวกาศมันไม่มีชีวิต ความว่างไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้ มันไม่ว่ามันว่างหรอก มันไม่รู้ของมัน แต่ใครไปรู้ว่ามันว่างล่ะ

ว่างเพราะใจมันมีอวิชชา สิ่งมีอวิชชามันปล่อยวางเข้ามาต่างๆ ทำลายเข้ามาทั้งหมด สิ่งที่จับต้องได้ นี่ขันธ์อย่างหยาบ ขันธ์อย่างกลาง ขันธ์อย่างละเอียดทำลายเข้ามาหมด แล้วตัวมันเองล่ะ สิ่งที่ทำลายตัวมันเอง นี่การรบในอวกาศ

ถ้าการรบในอวกาศ จิตสงบเข้ามา ย้อนกลับมาทำลายมัน ถ้าจิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา จับให้ได้ จับสิ่งที่เป็นอวกาศไง สิ่งที่เป็นอวิชชา มียานอวกาศเข้าไปจับมันได้ แล้วก็ยิงทำลายกัน เกิดสงครามในอวกาศ ถ้าเกิดสงครามในอวกาศมันจะทำลายตัวอวิชชา ถ้าทำลายตัวอวิชชาพลิกฟ้าคว่ำดินทั้งหมด สิ่งนี้จบสิ้นกระบวนการของการรบ เห็นไหม มันไม่ว่างโดยปราศจากหรอก

สิ่งที่ความปราศจาก นรกสวรรค์ก็ไม่เชื่อ สิ่งต่างๆ ว่าสิ่งนี้เป็นปราศจากว่าง ว่างๆ โดยปราศจาก ว่างโดยสิ่งที่ว่าหินทับหญ้าไว้ ว่างโดยสิ่งที่ว่าอำนาจวาสนา วุฒิภาวะของตัวมีเท่านั้นก็ว่าสิ่งนี้เป็นความว่าง

ว่างไม่ปราศจาก ว่างต้องมีสตินะ ขั้นของโสดาบัน พร้อมกับรูปรส กลิ่น เสียงภายนอก แต่ไม่พร้อมกับรูป รส กลิ่น เสียงภายใน คือยังมีกามราคะอยู่เห็นไหม

สกิทาคามี ความว่างที่มีสติ มีสิ่งที่รับรู้ ความว่างของสกิทาคามี กามราคะ-ปฏิฆะอ่อนตัวลง มันจะเข้าใจโลกนี้ว่างหมด ควบคุมได้ แต่ขณะที่เข้าไปเจอตัวจริง ตัวจริงคือเข้าไปเจอกามราคะ สิ่งนี้แสดงตัวมหาศาลเลย สิ่งที่แสดงตัวมหาศาล นี่ความว่างของพระอนาคามี

ถ้าความว่างของพระอนาคามี สติพร้อม ว่าง มี ความว่างไม่ปราศจากหรอก ความว่างมีสติ มีสิ่งใดควบคุมหมด

แล้วความว่างในอวกาศนะ สิ่งที่ความว่างในอวกาศ ขณะที่จิต มรรคญาณ อรหัตตมรรคทำลายสิ่งที่เป็นข้าศึกทั้งหมด สิ่งนี้ความว่างอย่างนี้เป็นวิมุตติสุข ความว่างของพระอรหันต์มีนะ ความว่างๆ ความรู้จักของพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะมันว่างมี มันไม่ใช่ว่างไม่มีหรอก สิ่งที่มีอยู่

ทหารออกรบแล้วจะเข้าใจทั้งหมด ถ้าทหารไม่ได้ออกรบ ได้แต่ฝึกวิชาชีพทหาร แล้วจบจากวิชาชีพนั้นก็เป็นแค่ทหารพัฒนาในโลก ในวัฏฏะ ในหัวใจของตัว มันไม่เห็นสัจจะความจริง มันถึงไม่เป็นความจริง เอวัง